วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่10 แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต



ในปัจจุบันเป็นยุคของกระแสโลกาภิวัฒน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบก้าวกระโดดซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 2 องค์ประกอบ คือ เทคโนโลยีเพื่อการประมวลผล คือ ระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีเพื่อการเผยแพร่ คือ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีอื่น ๆ


ความรับผิดชอบต่อสังคมระดับบุคคล

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีจริยธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย  การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์และเป็นมิตรที่ดีกับคนอื่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อก่อให้เกิดความรักสามัคคีในหมู่คณะ
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างกิจกรรมทางสังคมที่เป็นประโยชน์
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมรักษาสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ไขปัญหา
การสื่อสารและการร่วมมือทำงาน
ทักษะชีวิตและการทำงาน 
สำคัญในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขซึ่งประกอบด้วย
ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว
ความริเริ่มและการชี้นำตนเอง
ทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม
การเพิ่มผลผลิตและความรู้รับผิด
ความเป็นผู้นำและความรับผิดชอบ

 

บทที่9 การประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อชีวิต


การประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อชีวิต
  การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์กับการศึกษานั้นมีเทคโนโลยีทางการศึกษาได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีรูปแบบที่ส่งเสริมให้เกิดสภาพการเรียนรู้แบบใหม่ที่ทำให้ผู้เรียนได้มีช่องทางการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น
       
  ในปัจจุบันอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับทั้งการรับ-ส่งข้อมูลด้วยเสียงและข้อความ โดยกำจัดด้านความสามารถของการส่งเนื้อหาที่เป็นวิดีโอได้โดยเฉพาะการเข้าถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่สามารถนำมาเชื่อมต่อได้ทั้งเทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหว เสียงภาพลักษณ์ต่างๆ สามารถแปลงเข้าสู่อุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ แนวโน้มของสังคมที่ต้องการเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นมีมากขึ้น
การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์แสดงผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์แสดงภาพ อุปกรณ์เสียง เครื่องพิมพ์ ถ่ายโอนข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่อไมโครโฟนในการส่งข้อมูลเสียง

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการสร้างนวัตกรรม
    นวัตกรรม คือ กระบวนการในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งเล็กและใหญ่ เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงหรือบางส่วน เปลี่ยนแปลงในตัวสินค้า กระบวนการ และบริการ ซึ่งนำไปสู่การนำเสนอสิ่งใหม่สำหรับองค์กรในการเพิ่มมูลค่าแก่ลูกค้าและความรู้ขององค์กร 

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่ 8



กฎหมาย จริยธรรม และความปลอดภัย
ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ


การโพสต์ข้อมูลเท็จ

สำหรับการโพสต์ข้อมูลเท็จ หรือการใส่ร้าย กล่าวหาผู้อื่น การหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อหรือการโฆษณาชวนเชื่อใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม หรือก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์


การตัดต่อภาพ
ความผิดฐานการตัดต่อภายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เป็นความผิดในมาตรา 16 ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งการกระทำผิดรวมถึงการแต่งเติม หรือดัดแปลงรูปภาพด้วยวิธีใดๆ จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกเกลียดชังหรือได้รับความอับอาย


การป้องกันภัยจากการเจาะระบบ
มีแนวทางป้องกันโดยใช้ไฟร์วอลล์อาจจะอยู่ในรูปของฮาร์ดแวร์หรือซอฟแวร์ก็ได้ โดยเปรียบเสมือนยามเฝ้าประตูที่จะเข้าสู่ระบบ ตรวจค้นทุกคนที่เข้าสู่ระบบ มีการตรวจบัตรอนุญาต จดบันทึกข้อมูลการเข้าออก ติดตามพฤติกรรมการใช้งานในระบบ รวมทั้งสามารถกำหนดสิทธิ์ที่จะอนุญาตให้ใช้ระบบในระดับต่างๆ ได้

เทคโนโลยีการจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้

1. ความหมายและที่มาขององค์ความรู้
1.1ข้อมูล (data) เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกบันทึกลงไป และยังไม่ได้นำมาแปลความหมาย
1.2สารสนเทศ (information) เป็นข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรอง วิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ ให้ข้อมูลเกิดการตกผลึก มีการแปลงรูปของบันทึกและข้อมูลให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจมากขึ้น
1.3ความรู้ (knowledge) หมายถึง สิ่งที่สั่งสมจากปฏิบัติ ประสบการณ์ ปรากฏการณ์ซึ่งได้ยิน ได้ฟัง
1.4ปัญญา(wisdom)เป็นความรู้ที่มีอยู่นำมาคิดหรือต่อยอดให้เกิดคุณค่า หรือคุณประโยชน์มากขึ้น


2.ความหมายของการจัดการสารสนเทศ

2.1การนำเข้าข้อมูล (input) เป็นขั้นตอนแรกของการประมวลผลข้อมูลเป็นสารสนเทศ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
2.1.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1.2 การจัดระเบียบข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ มีกระบวนการดังนี้
1)การประเมินคุณค่าของข้อมูล
2)การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
3)การตรวจแก้ข้อมูล
4)การนำเข้าข้อมูล

2.2การประมวลผลข้อมูล (data processing) เป็นการจัดดำเนินการทางสถิติ หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่นำเข้าสู่กระบวนการให้ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ต้องการ หรือเป็นการสร้างสารสนเทศใหม่จากสารสนเทศเก่าที่นำเข้าสู่กระบวนการประมวลผล

2.3 การจัดเก็บสารสนเทศ (storing) สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลจะถูกจัดเก็บไว้ในแหล่งจัดเก็บ เพื่อการค้นสืบมาใช้ต่อไป


2.4การส่งออกหรือการแสดงผล (output) เป็นกระบวนการของการประมวลผลไปสู่บุคคลที่ต้องการนำสารสนเทศไปใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม
2.5การสื่อสารสารสนเทศ (information communicating) เป็นการส่งสารสนเทศไปยังบุคคลอื่นหรือสถานที่อื่นโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมในการกระจายสารสนเทศไปสู่ผู้ใช้ตามต้องการ

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ในการจัดการความรู้

การจัดการความรู้ขององค์กรโดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการจัดการความรู้ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อระบบ และมีความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญขององค์กร ซึ่งมีปัจจัยสำคัญดังนี้ 
1. การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดการความรู้
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์ในการจัดการความรู้ ทำให้เกิดการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการจัดการองค์กรอย่างเหมาะสม ถูกต้อง ซึ่งต้องมีการควบคุมเทคโนโลยีสารสนเทศทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ


การแบ่งเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ในการจัดการความรู้ได้ 6 ประเด็น ดังนี้
1.1 งานเอกสารเวิร์ดโพรเซสเซอร์
1.2 งานอีบุ๊ก อีไลบรารี
1.3 ระบบฐานข้อมูล
1.4 เว็บ
1.5 อีเมล เอฟทีพี (FTP)
1.6 เว็บบล็อก (webblag)
  2. ประโยชน์ของการจัดการความรู้
2.1 ป้องกันความรู้สูญหาย
2.2 เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจจากประเภท คุณภาพ และความสะดวกในการเข้าถึงความรู้
2.3 ความสามารถในการปรับตัว และความยืดหยุ่น
2.4 ความได้เปรียบในการแข่งขัน
2.5 พัฒนาทรัพย์สินทางปัญญา
2.6 ยกระดับผลิตภัณฑ์
2.7 การบริหารลูกค้า
2.8 การลงทุนทางทรัพยากรบุคคล

ฐานข้อมูลและการสืบค้น


ความหมายของฐานข้อมูลและการสืบค้น

       ฐานข้อมูล คือ การรวบรวมข้อมูลที่ต้องการจะจัดเก็บ ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กันหรือเป็นเรื่องเดียวกันไว้ด้วยกัน เพื่อสะดวกในการใช้งาน โดยอาศัยโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการกำหนดลักษณะข้อมูลที่จะเก็บไว้ในฐานข้อมูล อำนวยความสะดวกในการบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล แก้ไขปรับปรุงข้อมูล ค้นหาข้อมูล กำหนดสิทธิ์ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานข้อมูลได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวกและมีประสิทธิภาพ เสมือนเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูลให้สามารถติดต่อกันได้

องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล
    ฮาร์ดแวร์ (Hardwareคือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลและประมวลผลข้อมูล ซึ่งอาจประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่หนึ่งเครื่องขึ้นไป หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง หน่วยนำเข้าข้อมูล และหน่วยแสดงผลข้อมูล

    ซอฟต์แวร์ (Softwareคือ โปรแกรมที่ใช้ในระบบการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งทำหน้าที่ในการจัดเก็บ บันทึก แก้ไขปรับปรุง และค้นหาข้อมูล นอกจากนั้นยังสามารถกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้ด้วย  ซึ่งซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ Microsoft Access , MySQL เป็นต้น
   ข้อมูล (Dataระบบการจัดการฐานข้อมูลที่ดีและมีประสิทธิภาพ ควรประกอบด้วยข้อมูลที่มีความถูกต้อง รวดเร็วและเป็นปัจจุบัน มีความสมบูรณ์ ชัดเจนและกะทัดรัด สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้
      กระบวนการทำงาน (Proceduresคือ ขั้นตอนการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

      บุคลากร (Peopleบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูล



ประโยชน์ของฐานข้อมูล


     ลดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บข้อมูล เนื่องจากการจัดทำฐานข้อมูลจะมีการรวบรวมข้อมูลประเภทต่าง ๆ เข้ามาจัดเก็บไว้ในระบบและเก็บข้อมูลเพียงชุดเดียว ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะสามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้ เป็นการประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บ และทำให้เกิดความรวดเร็วในการค้นหาและจัดเก็บข้อมูล

ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย เมื่อข้อมูลในระบบฐานข้อมูลได้รับการดูแลปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้อมูลที่จัดเก็บเป็นข้อมูลที่มีความทันสมัย ตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน และตรงกับความต้องการอยู่เสมอ
ใช้ข้อมูลร่วมกันได้ เนื่องจากระบบการจัดการฐานข้อมูลสามารถจัดให้ผู้ใช้แต่ละคนเข้าใช้ข้อมูลในแฟ้มที่มีข้อมูลเดียวกันได้ในเวลาเดียวกัน

จัดทำระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้ ผู้บริหารระบบฐานข้อมูลสามารถกำหนดรหัสผ่านเข้าใช้งานข้อมูลของผู้ใช้แต่ละราย และให้ผู้ใช้แต่ละรายมีสิทธิ์ในการทำงานกับข้อมูลไม่เท่าเทียมกัน


เทคนิคการสืบค้น

เพื่อประหยัดเวลาในการสืบค้นข้อมูล ทำให้ได้ข้อมูลในปริมาณที่ไม่มากเกินไป และได้ผลการค้นที่ตรงตามประสงค์ของผู้ค้น สามารถใช้เทคนิคเหล่านี้ ได้แก่
1. เลือก Search engine หรือโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่เหมาะสม เช่น www.google.co.th
2. เลือกใช้คำสำคัญ หรือ หัวเรื่อง ที่ตรงกับความต้องการ
3. กำหนดขอบเขตของคำค้น

แนวโน้มการสืบค้นในอนาคต

การค้นหาด้วยวิธีแบบดั้งเดิม หรือการค้นหาโดยใช้คำสำคัญ อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ผู้ใช้งานได้รับมีข้อมูลทั้งที่ตรงและไม่ตรงกับความต้องการปะปนกัน ผู้ใช้งานจึงต้องเสียเวลาในการอ่านและคัดแยกข้อมูลที่ไม่ต้องการออกไป เนื่องจากเทคนิคการสืบค้นแบบดั้งเดิมตั้งอยู่บนพื้นฐานของการค้นหาคำ (ที่ผู้ใช้ต้องการสืบค้น) ที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกันกับคำหลัก ที่ปรากฏอยู่บนเอกสาร โดยคำสำคัญที่เจ้าของเว็บไซต์หรือผู้แต่งใช้ในเอกสารนั้น อาจเป็นคำสำคัญที่มีลักษณะเป็นคำพ้องรูป ซึ่งเป็นคำที่มีตัวสะกดเหมือนกันทุกประการ แต่ความหมายอาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้



เครือข่ายสังคมออนไลน์
          ความหมายของเครือข่ายสังคมออนไลน์
    หมายถึง สังคมออนไลน์ที่มีการเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างเครือข่ายในการตอบสนองความต้องการทางสังคมที่มุ่งเน้นในการสร้างและสะท้อนให้เห็นถึงเครือข่าย หรือความสัมพันธ์ทางสังคม ในกลุ่มคนที่มีความสนใจหรือมีกิจกรรมร่วมกัน บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จะให้บริการผ่านหน้าเว็บ และให้มีการตอบโต้กันระหว่างผู้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต
องค์ประกอบของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้แก่
  1.1 การมีสมาชิกของเครือข่าย
  1.2 การมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน
  1.3 การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกในเครือข่าย
  1.4 การสื่อสารภายในเครือข่าย
  1.5 การมีปฏิสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยน
  1.6 การให้บริการสมาชิกเครือข่ายสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ
ผู้ให้และผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์
1. กลุ่มผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network Service : SNS)
  1.1 สร้างและประกาศตัวตน (Identity Network)
   1.1.1 Facebook (เฟซบุ๊ก) เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ เปิดให้บริการเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 เจ้าของคือ Facebook, Inc. ผู้ก่อตั้งคือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerbergปัจจุบันเป็นที่นิยมและมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
1.1.2 Twitter (ทวิตเตอร์) ป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทไมโครบล็อก จัดเป็นบล็อกขนาดเล็ก มีคุณสมบัติคล้ายกับบล็อกทั่วไป ทวิตเตอร์ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 โดย แจ็ก คอร์ซีย์บิซ สโตน และ อีวาน วิลเลียมส์ เจ้าของบริษัท Obvious Corp ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา 
1.1.3 Bloggang (บล็อกแก๊ง) เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทบล็อกของประเทศไทยที่เปิดบล็อกเพื่อให้บริการกับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้นำเสนอเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ของผู้ใช้ในรูปแบบของบทความ กราฟิก หรือวิดีโอ และอนุญาตให้ผู้อื่นที่เข้ามาดูบล็อกนั้นๆ สามารถเขียนความคิดเห็นต่างๆ ลงไปได้
1.2 สร้างและประกาศผลงาน (Creative Network)
  1.2.1 YouTube (ยูทูบ) เป็นเว็บไซต์ประเภทแชร์ไฟล์วิดีโอ ก่อตั้งเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 โดย แชด เฮอร์ลีย์ สตีฟ เชง และยาวีด คาริม ยูทูบมีบริการเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลดและแลกเปลี่ยนคลิปวิดีโอผ่านทางเว็บไซต์ รวมถึงการสร้างรายการโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ วิดีโอจากสมาชิก งานโฆษณา ผ่านเว็บยูทูบ
1.2.2 Flickr (ฟลิคเกอร์) เป็นบริการเครือข่ายสังคมประเภทแชร์รูปภาพ มีต้นกำเนิดจากประเทศแคนาดา บริษัทลูดิคอร์ป (Ludicorpเป็นผู้พัฒนาโดย Catherina Fake และ Stewart Butterfield ได้พัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลโดยคำนึงถึงระดับของผู้ใช้งาน เพื่อให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันทั้งหมด
1.3 ความชอบหรือคลั่งไคล้ในสิ่งเดียวกัน (Passion Network)
  1.3.1 Ning (หนิง) เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับบุคคลและองค์กรในการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่กำหนดเอง เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 หนิงได้ร่วมก่อตั้งโดย Marc Andreessen และ Gina Bianchini หนิงเป็นเว็บสำหรับผู้ที่ชอบอะไรที่เหมือนกัน และสร้างชุมชนเพื่อตอบสนองความสนใจและความต้องการของกลุ่ม
  1.3.2 Digg (ดิกก์) เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ผู้ก่อตั้งคือ เควิน โรส เจ้าของคือ Digg, Inc. ดิกก์เป็นเว็บไซต์ประเภทชุมชนเนื้อหาที่เกี่ยวกับข่าวเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ โดยนำเอาการคั่นหน้าเว็บผสมกับบล็อก  เพื่อให้มีการเชื่อมโยงเนื้อหาเว็บเข้าด้วยกัน
1.3.3 Pantip (พันทิป) เป็นเว็บไซต์ของประเทศไทยที่ให้บริการกระดานข่าวสำหรับผู้ที่ ชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน ก่อตั้งโดยนายวันฉัตร ผดุงรัตน์ เปิดตัวเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2546 พันทิปให้บริการผู้ใช้โดยจัดให้มีห้องสนทนาเป็นกลุ่มใหญ่ครอบคลุมเรื่องต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ การเมือง ความรู้ กีฬา บันเทิง ศาสนา ความงาม และกฎหมาย เป็นต้น 
1.4 เวทีทำงานร่วมกัน (Collaboration Network)
  1.4.1 Wikipedia (วิกิพีเดีย) เป็นโครงการสารานุกรมเนื้อหาเสรีหลายภาษาบนเว็บไซต์ เปิดตัวในปี พ.ศ. 2544 โดย จิมมี เวลส์ และแลร์รี แซงเจอร์ คำว่า "วิกิพีเดีย" มาจากการผสมคำว่า wiki ซึ่งเป็นลักษณะของการสร้างเว็บไซต์แบบมีส่วนร่วม เป็นคำในภาษาฮาวายที่แปลว่า "เร็ว" และคำว่า encyclopedia ที่แปลว่าสารานุกรม
1.5 ประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality)
  1.5.1 Second Life (เซคันด์ไลฟ์พัฒนาโดยบริษัทลินเดนรีเสิร์ช เซคันด์ไลฟ์ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมที่เรียกว่า ไซเบอร์พังก์ (cyberpunk) และนวนิยายของนีล สตีเฟนสัน (Neal Stephenson) เรื่อง Snow Crash ให้บริการเมื่อ พ.ศ. 2546 เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ช่วยในการร่วมสร้างประสบการณ์เสมือนจริง
1.6 เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ (Professional Network) 
ลิงค์อิน (LinkedIn)
  ลิงค์อิน (LinkedIn) เป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่ให้บริการเพื่อการประกอบอาชีพเน้นด้านเครือข่ายธุรกิจ โดยจุดประสงค์หลักของลิงค์อินเพื่อให้บริการแก่ให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนกับทางเว็บไซต์แล้ว ผู้ใช้จะสามารถสร้างรายการส่วนตัวเกี่ยวกับอาชีพสำหรับติดต่อกับผู้อื่นหรือกับบริษัทต่างๆ และเป็นการสร้างเครือข่ายทางอาชีพของผู้ใช้เอง 
1.7 เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างผู้ใช้ (Peer to Peer : P2P)
  1.7.1 Sky (สไกป์) เป็นโปรแกรมที่ให้ผู้บริการผู้ใช้สำหรับสนทนาโทรศัพท์ สนทนาแบบวิดีโอ ส่งข้อความผ่านอินเทอร์เน็ต สไกป์ก่อตั้งโดย Niklas Zennström และ Janus Friis ชาวสวีเดน หน้าที่ของสไกป์คือ ให้บริการผ่านทางคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งสู่คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งเป็นเสียงและภาพขณะสนทนา การส่งข้อความ และการส่งข้อมูลในรูปแบบไฟล์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 

ผลกระทบของเครือข่ายสังคมออนไลน์

 

1. ผลกระทบเชิงบวก
   1.1 เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วิดีโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
  1.2 เป็นสื่อที่ใช้ในการแบ่งปันข้อมูล รูปภาพ ความรู้ให้กับผู้อื่น สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้ เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อม
    1.3 เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น การศึกษา การเมือง บันเทิงศิลปวัฒนธรรม การตลาด สินค้าและการบริการ
  1.4 เป็นเครือข่ายกระชับมิตร สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้ 
1.5 เป็นเครื่องมือช่วยในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถสื่อสารได้หลายรูปแบบ เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ สามารถสื่อสารกับคนที่มีความชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือรวมตัวกันทำกิจกรรมที่มีประโยชน์
  1.6 เป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนาชุมชน โดยใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อประชาชนในชุมชนกับกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน 
  1.7 เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์
  1.8 ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ด้วยช่องที่สะดวกและรวดเร็ว
2. ผลกระทบเชิงลบ
  2.1 เป็นช่องทางที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้างได้ง่าย หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณในการใช้งาน
  2.2 หากใช้หมกมุ่นกับการเข้าร่วมเครือขายสังคมออนไลน์มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
 และอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานหรือการเรียนลดลง อีกทั้งจะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้อย่างไม่รู้คุณค่า
  2.3 เป็นช่องทางที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์กระแสสังคมในเรื่องเชิงลบ และอาจทำให้เกิดกรณีพิพาทบานปลาย
  2.4 ภัยคุกคามจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ

  อินเทอร์เน็ต (internet) มาจากคำว่า inter connection network หมายถึง เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องทั่วโลกให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้โดยใช้มาตรฐานเดียวกันในการรับส่งข้อมูล ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถรับส่งข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เช่น ตัวอักษร ภาพและเสียงได้ สามารถค้นหาข้อมูลจากที่ต่าง ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว



ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตมีจุดเริ่มต้นมาจากโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทางการทหารของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาที่มีชื่อโครงการว่าอาร์พาเน็ต (ARPANET: advanced research project agency) .. 2512 โดยมีรูปแบบของการทำงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ


หลักการทำงานของอินเทอร์เน็ต


การทำงานขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบอินเทอร์เน็ตจะสอดคล้องกันได้ต้องใช้ โพรโทคอล (protocol) หรือข้อตกลงที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐาน

การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันสามารถติดต่อสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างถูกต้องภายใต้มาตรฐาน TCP/IP 




การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต


การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นการเชื่อมโยงกันของคอมพิวเตอร์บนระบบเครือข่าย เสมือนเป็นใยแมงมุมที่ครอบคลุมทั่วโลกในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น สามารถเชื่อมต่อกันผ่านหน่วยงานที่เรียกว่า “ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต” หรือ ISP (internet service provider) ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอาจเป็นบริษัทหรือหน่วยงานที่เปิดบริการให้ผู้ใช้ทั่วไปเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายของตน เพื่อต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตอีกทีหนึ่ง โดยมีการเก็บค่าบริการเป็นทอดๆ ไป


การป้องกันภัยจากอินเทอร์เน็ต

1. ภัยจากอินเทอร์เน็ต
   1.1 ไวรัสและโปรแกรมอันตราย
1.1.1 boot sector/master boot record ไวรัสประเภทนี้จะฝังตัวไว้ที่บูตเซกเตอร์ของฮาร์ดดิสก์ หรือ เรียกว่า master boot record (MBR) ทุกๆครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมา เมื่อมีการเรียกระบบปฏิบัติการ โปรแกรมไวรัสจะทำงานก่อนและเข้าไปฝังตัวอยู่ในไฟล์โปรแกรม
1.1.2 ไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม จะฝังตัวอยู่ในไฟล์โปรแกรม ซึ่งปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .com หรือ .exe 1.1.3 macro viruses จะติดกับไฟล์เอกสารซึ่งใช้เป็นต้นแบบ ทุกๆเอกสารที่เปิดขึ้นใช้ด้วยต้นแบบอันนั้นจะเกิดความเสียหายขึ้น
1.1.4 trojan horse เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาให้ทำตัวเหมือนว่าเป็นโปรแกรมธรรมดา ทั่วๆ ไป เพื่อหลอกล้อผู้ใช้ให้ทำการเรียกขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อถูกเรียกขึ้นมาก็จะเริ่มทำลายไฟล์และโปรแกรมทันที 

1.1.5 worm หรือ ตัวหนอน ต่างจากไวรัสชนิดอื่น คือสามารถแพร่กระจายตัวเองได้โดยไม่ต้องฝังตัวในโปรแกรมหรือไฟล์ใดๆ และมีผลกระทบต่อระบบมากที่สุด
1.1.6 exploit เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาให้สามารถเจาะระบบ โดยอาศัยช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการเพื่อให้ไวรัสสามารถครอบครอง ควบคุม หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดบนระบบได
    1.2 สปายแวร์และแอดแวร์

1.2.1 สปายแวร์ (spyware) เป็นโปรแกรมดักข้อมูลเมื่อผู้ใช้ติดตั้ง โปรแกรมเหล่านี้จะสร้างความรำคาญหรือขโมยข้อมูลสำคัญ
1.2.2 แอดแวร์ (adware) เป็นโปรแกรมโฆษณาที่ถูกติดตั้งขึ้น เพื่อ
   1.3 สแปมเมล์ (spam mail) หรือ เมล์ขยะ (junk mail) เชิญชวนให้ซื้อสินค้า  เป็นการส่งอีเมล์ไปยังผู้รับเป็นจำนวนมาก รบกวนการทำงานของอินเทอร์เน็ต ทำให้เสียเวลาในการคัดแยกและลบทิ้ง

2. วิธีการป้องกันภัยจากอินเทอร์เน็ต
2.1 การประเมินความเสี่ยง คือ การพิจารณาถึงภัยคุกคามประเภทต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายขององค์กร
2.2 นโยบายความมั่นคงปลอดภัย กำหนดข้อบังคับตามความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัยและการควบคุมขององค์กร
2.3 การให้ความรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัย เป็นการให้ความรู้ เช่น การฝึกอบรบด้านความมั่นคงปลอดภัยเพื่อสร้างความตระหนักแก่ผู้ใช้บริการ 





ตัวอย่างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์และแบบขององค์กร